RSS

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไม้ประดับที่ใช้ในการตกแต่งสวนภายในอาคาร

ไม้ประดับที่ใช้ในการตกแต่งสวนภายในอาคาร


การเลี้ยงไม้ประดับในอาคารนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนักหนา แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเลี้ยงหรือผู้ที่เลี้ยงมานานแล้ว แต่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจดีพอ อาจประสบปัญหาได้เพราะการปลูกเลี้ยงไม้ประดับในอาคารนั้นใช่ว่าจะมีเพียงแค่การรดน้ำและการให้ปุ๋ยเท่านั้น แต่ยังมีข้อปลีกย่อยต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จในการปลูกเลี้ยงไม้ประดับในอาคาร


ข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ปลูกเลี้ยงไม้ประดับในอาคารควรจะทราบ
1. การเลือกซื้อไม้ประดับ
2. ข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อไม้ประดับ
3. ข้อปฎิบัติในการนำต้นไม้กลับบ้าน
4. ข้อปฎิบัติเมื่อนำต้นไม้มาถึงบ้าน
5. ข้อควรคำนึงในการตั้งกระถางไม้ประดับ
6. ข้อควรจำในการรดน้ำต้นไม้
7. การดูแล่ต้นไม้ในฤดูร้อน
8. การทำความสะอาด
9. การทำหลักยึดเกาะ
10.การตัดแต่งกิ่ง
11. การรักษาความชุ่มชื้นให้กับต้นไม้
12. อันตรายจากความงาม
13. การสังเกตอาการผิดปกติของไม้ประดับและการแก้ไข


1. การเลือกซื้อไม้ประดับก่อนที่จะซื้อต้นไม้เข้ามาปลูกภายในบ้าน ควรจะต้องมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเสียก่อน ไม่ใช้ไปพบเข้าโดยบังเอิญและเกิดชอบใจก็ซื้อกลับบ้าน คุณจะต้องแน่ใจก่อนว่าสภาพแวดล้อมภายในบ้านเหมาะกับต้นไม้ชนิดที่ต้องการหรือไม่ ถ้าคุณเริ่มต้นที่จะปลูกต้นไม้เป็นครั้งแรก อาจเริ่มต้นโดยการซื้อต้นไม้ที่มีความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ เมื่อเลี้ยงให้รอดและเจริญเติบโตได้แล้วก็ค่อยเขยิบขึ้นไปทีละขั้นจนคุณมีความชำนาญ ค่อยหาพันธุ์ไม้ที่เลี้ยงยากมาปลูกการปลูปต้นไม้ภายในบ้านนั้นคุณต้องไม่ลืมว่าต้นไม้ต้องการแสง น้ำ อากาศ อุณหภูมิ ความชื้นและอาหาร เช่นเดียวกับต้นไม้ที่อยู่นอกบ้าน เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะซื้อต้นไม้เข้ามาประดับภายในบ้าน คุณต้องรู้ถึงความต้องการของต้นไม้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นต้องการปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตมากน้อยบแค่ไหน เพราะต้นไม้แต่ละอย่างย่อมมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คุณอาจถามมาจากผู้ขายโดยตรงก็ได้สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณต้องคำนึงถึงก็คือถ้าในบ้านของคุณมีเด็กหรือเลี้ยงสุนัข คุณตะต้องมีการเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าเสียก่อน เช่นกรณีที่คุณจะตั้งกระถางต้นไม้ไว้ที่พื้น คุณจะต้องหาพืชที่ทนทานต่อการเสียดสีหรือการจับต้องพอสมควร ส่วนต้นไม้ที่บอบบางเสียหายง่าย ควรจัดให้อยู่ในที่สูงหรือบริเวณที่จะไม่ถูกการจับต้องเสียดสีบ่อยนัก อีกข้อหนึ่งที่คุณไม่ควรจะลืมก็คือ คุณมีเวลาเหลือพอที่จะดูแลต้นไม้ที่คุณุซื้อมาปลูกบ้างหรือไม่ถ้าคุณพร้อมแล้วก็ไปเลือกซื้อต้นไม้มาประดับบ้านกันได้เลย

2. ข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อไม้ประดับ
1. ควรซื้อจากร้านที่มีชื่อเสียงเชื่อถือได้ หรือซื้อจากสวนที่ผลิตโดยตรง
2. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่ตั้งขายอยู่นอกร้าน
3. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่มีตำหนิหรือร่องรอยของความเสียหายจากโรคและแมลง4.ตรวจดูกระถางและกันกระถางให้ดีอย่าเลือกต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในกระถางที่มีรอยร้าวหรือแตกอย่างเลือกต้นไม้ที่รากโผล่ออกมาจากรูก้นกระถาง แล้วเป็ฯอันขาด เพราะทั้งสองอย่าง่นี้จะทำให้เกิดความเสียหายในขณะเคลื่อนย้ายได้
5. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่ดินในกระถางแฉะ เพราะนั้นแสดงว่าน้ำในกระถางไม่สามารถระบายออกไปได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหารากและโคนเน่าได
6. ในกรณ๊ที่เป็นไม้ดอก ควรเลือกเอาต้นที่ดอกกำลังตู่มเต็มที่ยังไม่บาน
7. จะต้องดูจนแน่ใจว่าต้นไม้ที่ซื้อนั้นไม่มีร่องรอยหรือตำหนิใด ๆ เลย
8. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่ใบเหี่ยว ใบลู่ลง หรือได้รับความเสียหายเป็นอันขาด
9. ไม่ควรซื้อต้นไม้เพราะเห็นว่าราคาถูกเป็นอันขาด
10. ขณะนำต้นไมักลับบ้าน ควรระมัดระวังอย่าให้ต้นไม้ได้รับความกระทบกระเทือนโดยเด็ดขาด

3.ข้อปฎิบัติในการนำต้นไม้กลับบ้านการนำต้นไม้ที่ซื้อมาแล้วกลับบ้านมีหลักปฎิบัติดังนี้
1. อย่าขนถ่ายต้นไม้ในวันที่มีลมแรง ฝนตกหนักหรืออากาษร้อนมาก ๆ
2.ถ้านำต้นไม้บรรทุกรถยนต์กลับบ้าน ควรยึดต้นไม้ไว้กับต้วรถให้แน่น อย่าให้ล้มหรือตะแคงได้
3. ต้นไม้ที่มีใบยาว ๆ หรือใบใหญ่มากควรใช้เชือกมัดรวบเข้าด้วยกันเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากลม
4. รถยนต์ที่จะขนถ่ายต้นไม้ควรมีหลังคาเพื่อกันแดด ลมและฝนด้วย
5. ในกรณีที่ใช้รถกระบะที่ไม่มีหลังคาขนต้นไมั ควรใช้ตาข่ายหรืออวนคลุมต้นไม้ไว้เพื่อไม่ให้ลมตีใบไม้เสียหายขณะเดินทาง (ปัจจุบันใช้ซาแรน)
6. ควรขนถ่ายต้นไม้ในตอนเช้าและตอนเย็นที่อากาศไม่ร้อน
7. เมื่อนำต้นไม้มาถึงบ้าน ควรวางไว้ในที่ร่มเย็นสบาย อากาศถ่ายเทได้สะดวก
8. อย่ารดน้ำต้นไม้ทันทีที่นำมาถึง ควรให้ต้นไม้ได้ปรับตัวเอง ให้เข้ากับสภาพอากาศภายในบ้านสักพักหนึ่งก่อน


4. ข้อปฎิบัติเมื่อนำต้นไม้มาถึงบ้าน
1. อย่าให้น้ำทันทีที่ต้นไม้มาถึง ควรนำต้นไม้ไปตั้งไว้ในที่ร่มเย็นสบาย อากาศถ่ายเทได้สะดวก
2. ในระยะแรกควรให้น้ำแต่น้อย อย่าให้มากจนแฉะขัง
3. เมื่อต้นไม้สามารถปรับตัวได้แล้วคือประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงนำไปวางไว้ในตำแหน่งที่ต้อง
4. ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
5. อย่าพึ่งให้ปุ๋ยใด ๆ แก่ต้นไม้เป็นอันขาด
6. อย่ากระทำการใด ๆ กับต้นไม้ที่ใบและดอกร่วง นั้นคือผลจากการกระทบกระเทือนในขณะที่ขนต้นไม้มาบ้าน
7. เมื่อต้นไม้ตั้งตัวได้ดีแล้ว คือประมาณ 30-50 วัน จึงให้ต้นไม้ได้รับแสงแดดบ้างในช่วงเช้าที่แดดไม่ร้อนจัดจนเกินไป


5. ข้อควรคำนึงในการตั้งกระถางไม้ประดับ
1.ไม่ควรตั้งกระถางไม้ประดับในที่ที่มีลมพัดแรงๆหรือมีไอร้อนหรือไอเย็นพัดผ่านออกมาอยู่ตลอดเวลาเพราะไม้ประดับส่วนมากไม่ชอบลมโกรกหรือ มีอุณหภูมิสูง เนื่องจากจะมีการะเหยของน้ำออกมามากจนต้นไม้นั้นเหี่ยวเฉาตายได้
2.ต้องสังเกตหรือพิจารณาถึงแสงแดดหรือแสงสว่างเพราะไม้ประดับนั้นมีความต้องการแสงที่แตกต่างกันบางชนิดที่ต้องการแสงมากก็อาจตั้งไว้ใกล้กับ ประตูหน้าต่างหรือในที่ที่แสงสว่างส่องมาได้มากแต่บางชนิดที่ต้องการแสงน้อยก็ไม่ควรวางใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง
3.ไม้ประดับที่มีกิ่งก้านเป็นพุ่มและต้องการเนื้อที่มากใม่ควรนำมาตั้งประดับใกล้กับทางเดินหรือทางเข้าออกเพราะจะทำให้กีดขวางต่อการสัญจรไปมา และอาจเป็นอันตรายต่อต้นไม้นั้นได้
4. ไม่ควรนำสิ่งใดมาผูกมัดกับไม้ประดับในกระถาง เพื่อตกแต่งประดับประดาสถานที่เป็นอันขาด
5. การใช้ไม้ประดับเพื่อตกแต่งภายในอาคารนั้น จำเป็นต้องมีไม้เพื่อสับเปลี่ยนไม่ควรใช้ไม้ประดับชุดเก่านานเกินไป เพราะจะทำให้โทรมได้
6. กระถางไม้ประดับนั้นควรจะมีจานรองก้นกระถาง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกจากรูกระถาง จนก่อให้เกิดความสกปรกเลอะเทอะ
7.ไม้ประดับที่ใช้ในอาคารนั้นควรมีความสูงไม่เกิน 6 ฟุต เพราะจะทำให้รก นอกจากจะเป็นอาคารที่มีหลังคาสูง
8.ควรระวังอย่าให้ไม้ประดับในกระถางรกเป็นอันขาดเพราะอาจเป็นที่ซุกซ่อนของสัตว์ร้ายเช่นงูหรือเป็นที่อยู่ของยุงและไม่ควรใช้ยาปราบศัตรูพืช กับไม้ประดับับในอาคาร
9. อย่าลืมว่าไม้ประดับที่อยู่ในกระถางนั้น ก็เหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในกรง นอกจากจะให้น้ำแล้ว ยังจะต้องไม่ลืมให้อาหารคือปุ๋ยอีกด้วย
10 การรดน้ำไม้ประดับที่อยู่ในอาคาร ควรรดแต่เฉพาะที่โคนต้น


6. ข้อควรจำในการรดน้ำต้นไม้
1. ควรรดน้ำต้นไม้ในตอนเช้าหรือตอนเย็นที่อากาศไม่ร้อน
2. น้ำที่ใช้รดไม่ควรใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็นรด
3. ต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่ควรรดน้ำให้มาก เพราะพืชที่มีใบใหญ่จะมีการคราบน้ำมาก เพราะฉนั้นจึงต้องการปริมาณน้ำมากเพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป
4.ต้นไม้ขนาดเล็กที่ปลูกอยู่ในกระถางใบใหญ่อย่ารดน้ำให้มากตามขนาดของกระถางเพราะต้นไม้ไม่สามารถที่จะรับได้หมดและถ้าหากระบายไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการรากเน่าได้
5. อย่ารดน้ำลงบนบริเวณดอกหรือใบในขณะที่แสงแดดร้อนจัด
6. ในฤดูหนาวไม่จำเป็นต้องรดน้ำมาก รดแค่เดือนละสองครั้งก็พอ
7. การรดน้ำแต่ละครั้งควรรดให้ชุ่มโชก แต่อย่ารดนานเกินไป
8.ต้นไม้บางชนิดมีใบบอบางเกินกว่าที่จะทนการรดน้ำที่แรงๆได้ควรยกกระถางไปแช่น้ำโดยให้ระดับน้ำเสมอกับระดับผิวดินแช่ไว้จนแน่ใจว่าน้ำชึม เข้าดีแล้วจึงยกกระถางขึ้นจากน้ำ
9. อย่ารดน้ำให้ขังอยู่บริเวณส่วนยอดของต้นไม้ นอกจากต้นไม้จำพวกสับประรดสี ที่มึวามสามารถเก็บน้ำไว้ทรงบริเวณยอดได้


7. การดูแลต้นไม้ในฤดูร้อนในฤดูร้อนนั้นอากาศมีอุณหภูมิสูงมาก และพืชก็จะมีการคายน้ำสูงขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ปลูกจะให้น้ำมากเพียงใดก็ตาม รากของพืชก็ไม่สามารถทำจะดูดน้ำได้ทันกับอัตราการคายน้ำของพืชในหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ เราจะสังเกตเห็นใบของไม้ประดับที่เคยสวยงามของเราหมองและไม่สดชื่นมีชีวิตชีว่าเอาเสียเลย แต่เหตุการณ์แบบนี้เราสามารถแก้ไขได้โดยการเพิ่มความชื้นในอากาศ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้คือ
1. หมั่นฉีดพ่นน้ำให้กับต้นไม้อย่างสม่ำเสมอเป็นการเพิ่มความชื้นในอากาศ เพื่อให้ต้นไม้คงความสดชื่นไว้ได้
2. นำถาดใส่น้ำมาวางไว้ใกล้ ๆ กับต้นไม้หรือวางไว้ใต้กระถางโดยมีก้อนหินหรือภาชนะคว่ำรองก้นกระถางไว้ไม่ให้น้ำท่วมถึงก้นกระถาง เพื่อให้น้ำระเหยเป็นไอขึ้นมาลอยอยู่รอบ ๆ ต้นไม้
3.นำพืชหลายชนิดมาวางรวมกันอยู่ในภาชนะที่มีขนาดใหญ่เป็นกลุ่มๆเพื่อให้ไอน้ำที่เกิดจากการคายน้ำและไอน้ำจากดินในกระถางของพืชแต่ละต้น ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของกันและกันไว้ ในการเลือกเอาต้นไม้มารวมกันนี้ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่พืชต้องการนั้น จะต้องใกล้เคียงกันมากที่สุด
4.ในช่วงที่อากาศร้อนจัดของฤดูร้อนอาจช่วยให้ต้นไม้รอดตายได้ด้วยการยกกระถางต้นไม้มาฝังดินไว้ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่รอจนกระทั่งฤดูร้อน ผ่าน ไปจึงค่อยยกกระถางกลับเข้ามาไว้ในบ้านเดิมวิธีการฝังกระถางนั้นจะไม่ฝังจนกระทั่งจมหมด แต่จะเหลือส่วนที่เป็นคอของกระถางไว้ให้อยู่เหนือดิน


8. การทำความสะอาดเมื่อวางกระถางต้นไม้ไว้กับที่เป็นเวลานาน ๆ จะมีฝุ่นละอองต่างๆ มาจับที่บนใบและลำต้นของต้นไม้ ฝุ่นละอองเหล่านี้นอกจากจะบดบังทำให้ต้นไม้ได้รับแสงน้อยลงแล้ว ยังอุดตันรูหายใจของต้นไม้อีกด้วย การหมั่นทำความสะอาดใบต้นไม้อยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่ควรปฎิบัติ เพราะนอกจากจะทำให้ต้นไม้ดูสวยงามขึ้น แล้วยังเป็นการกำจัดไข่ของแมลงและไรที่อยู่ตามใบอีกด้วย ต้นไม้ที่มีใบอ่อนนุ่มอาจทำความสะอาดได้โดยการใช้ฟองน้ำที่นุ่มและซุ่มชื้นเช็ดให้ทั่ว สำหรับต้นไม้ที่มีใบเป็นขนเหมือนกำมะหยี่ก็ทำความสะอาดได้โดยการใช้แปรงที่แห้ง มีขนนุ่มละเอียด ปัดบนใบเพื่อความสะอาดการใช้น้ำมันทาบนใบไม้เพื่อให้ดูเงางามและสวยขึ้นนั้น เป็นการปฎิบัติที่ผิดเพราะจะทำให้ฝุ่นละอองจับใบไม้ได้ดีขึ้น และอาจเกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้


9 การทำหลักให้พืชยึดเกาะในขณะต้นไม้ยังมีอายุน้อย ลำต้นจะมีความอ่อนต้ว และมีความยืดหยุ่นสูง ดังนั้นจึงควรจะทำหลักเพื่อให้ต้นไม้ได้เกาะยึด ซึ่งจะทำให้ต้นไม้ดูสวยงามขึ้นด้วย การเลือกแบบของหลักให้ต้นไม้ยึดเกาะจึงควรจะคำนึงถึงลักษณะของต้นไม้แต่ละชนิด และควรมีการจัดลำต้นของต้นไม้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ดูสวยงาม การทำหลักยึดเกาะให้ต้นไม้เวลาที่เปลี่ยนกระถางจะทำได้สะดวกเพราะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ปักหลังลงไปถูกราวของต้นไม้ขาดได้


10.การตัดแต่งกิ่งการปลูกไม้ในร่มบางชนิดด้องมีการตัดแต่งกิ่งในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้พืชชนิดนั้น ๆ มีขนาดกระทัดรัดสวยงามเหมาะสมที่จะปลูกไว้ภายในอาคารหรือมีรูปทรงที่โปร่งตาขึ้น กิ่งก้านมีระเบียบแบบแผนไม่ไขว้ทับกันจนเป็นเหตุให้ถูกรบกวนจากโรคและสํตรูได้ง่าย การตัดแต่งกิ่งในจุดที่เหมาะสมจะช่วยให้ใบของพืชมีโอกาสได้รับแสงสว่าง เพื่อนำไปใช้ในการปรุงอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้การตัดแต่งพืชบางชนิดเช่น เบญจมาศ จะเป็นผลให้ได้ดอกไม้ที่มีคุณภาพดี

การตัดแต่งกิ่งแบ่งออกเป็นวิธีใหญ่ ๆ ได้ 2 วิธี คือ

1. การเด็ดหรือขลิบ เป็นการตัดแต่งกิ่งขั้นต้นโดยการใช้มือหรือใช้กรรไกรขลิบยอดอ่อน การขลิบยอดอ่อนเช่น นี้จะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตได้ เช่น เมื่อเด็ดยอดอ่อนด้านข้างก็จะเป็นการช่วยเร่งความเจริญเติบโตทางด้านยาวของกิ่ง
2. การตัดซอย เป็นการเลือกตัดกิ่งที่เจริญขึ้นในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ออกจากลำต้นใหญ่ทั้งกิ่งเพื่อให้ทรงพุ่มดูโปร่งตาขึ้น11 การรักษาความชุ่มชื้นให้ต้นไม้ในบางครั้งเมื่อมีความจำเป็นต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัดหรือตากอากาศ 2-3 วัน และไม่มีคนทำหน้าที่ดูแลต้นไม้แทน อาจสร้างความกังวลใจเพราะกลัวว่าเมื่อกลับมาบ้านจะพบกว่าต้นไม้เหล่านั้นจะเหี่ยวเฉาไปเสียหมด ความกังวลใจเหล่านี้จะหมดไปได้ถ้าหากเลือกปฎิบัติตามวิธีใด วิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1. หุ้มต้นไม้ที่มีขนาดเล็กด้วยถุงโพลีธีน หรือถงพลาสติกธรรมดาก็ได้ ไอน้ำจากการหายใจของพืชจะกลับไปสร้างความชุ่มชื้นให้กับดิน ทำให้พืชสามารถรักษาความสดชื่นไว้ได้
2. สอดไส้ตะเกียงผ่านรูระบายน้ำของกระถางเข้าไปในดินที่ใช้ปลูกต้นไม้ และแช่ปลายอีกข้างหนึ่งของไส้ตะเกียงลงในถาดที่มีน้ำบรรจุอยู่
3. วางกระถางต้นไม้ไว้บนผ้าหรือฟองน้ำที่มีรูพรุนเล็ก ๆ สามารถดูดซับน้ำได้ดีและเปิดก๊อกน้ำให้น้ำหยดลงบนผ้าหรือฟองน้ำอย่างช้างๆ ใส้ตะเกียงภาชนะที่ใช้รองกระถางบรรจุน้ำ12. อันตรายจากความงามเนื่องจากการที่ไม้ในร่มเป็นไม้ที่ปลูกอยู่ในอาคาร ซึ่งอาจจะเป็นสำนักงานหรือบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็ได้ ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในสำนักงานดูจะไม่ค่อยมีพิษภัยต่อคนเท่าไร ส่วนต้นไม้ที่อยู่ในบ้านเรือนบางครั้งก็อาจเกิดเป็นพิษภัยต่อผู้อยู่อาศัยได้ โดยเฉพาะบ้านเรือนที่มีเด็ก ๆ อยู่ด้วย

ความเป็นพิษจากพืชเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดย 2 ทางคือ

1. อาการพิษต่อทางเดินอาหารอาการพิษของพืชเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากการับประทานเข้าไปมักเกิขึ้นกับเด็ก ๆ เพราะความซุกซนและลักษณะสีสันที่น่าสนใจของต้นไม้เหล่านี้ มักมีดอกหรือผลที่มีสีสันสะดุดตาอาการพิษจะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่ากับชนิดของพืชและอวัยวะที่เกิดการระคายเคือง อวัยวะเหล่านั้นเริ่มตั้งแต่ปาก ลำคอ เยื่อกระเพาะอาหารไปจนถึงเยื่อลำไส้ พืชที่ทำให้เกิดอาการพิาต่อทางเดินอาหาร ได้แก่ สาวน้อยประแป้ง พญาช้างเผือกเสน่ห์จันทน์ขาว คูน ใบกระดาษ บอนสี พลูแฉก พลูฉีก พลับพลึง ผลเทียนหยด บานบุรีเหลือง แพงพวยฝรั่ง พุดฝรั่ง ฝิ่นต้น สบู่แดง ราตรี หนุมานนั่งแท่น
2. อาการพิษต่อผิวหนังที่จริงพืชพวกนี้ก็มีพิษต่อทางเดินอาหารด้วยเช่นเดียวกัน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นพืชที่มีลักษณะไม่น่าสนใจของเด็ก ๆ จึงมักไม่ถูกกินลงไป อาการเป็ฯพิษจึงมักเกิดขึ้นจากการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจเสียมากกว่าพืฃเหล่านี้ ได้แก่ พืชที่มีหนาม เช่นกุหลาบ กระบองเพชร หรือพืชที่มีสารพิษ เช่น สลัดได ต้นคริสต์มาส สามเหลี่ยมญี่ปุ่น โป๊ยเซียน พญาไร้ใบเมื่อทราบถึงชนิดของพืชที่มีพิษเช่นนี้แล้ว ก็ควรใช้ความระมัดระวังเลือกปลูกพืช ให้เหมาะสมกับสถานที่ เพื่อเป็นการลดอันตรายจากพืชเหล่านี้ลง กล่าวคือไม่ควรปลูกพืชที่มีหนามหรือมีพิษในห้องนอนของ เด็กหรือบริเวณที่เด็ก ๆ ชอบเล่นอยู่เป็ฯประจำ นอกจากนั้นพืชมีกลิ่นหอมหรือมีดอกทุกชนิดก็ไม่ควรจะนำมาปลูกในห้องนอนของเด็กในกรณีที่มีผู้กลืนพืชที่มีพิษลงไปให้รีบทำให้อาเจียนทานยาเคลือบกระเพราะ นมหรือไข่ขาว แล้วรีบนำส่งแพทย์เพื่อทำการล้างท้องโดยด่วน ถ้ามีผู้ถูกยางของพืชพวกสลัดไดหรือพญาไร้ใบ และเกิดเป็นพิษขึ้น หากล้างด้วยสบู่และน้ำไม่ออก ต้องใช้แอลกอฮอล์ล้าง

11. การสังเกตอาการผิดปรกติของไม้ประดับและการแก้ไขกรณีที่ต้นไม้มีอาการเฉา เหลือง ไม่เจริญเติบโต ผู้ปลูกเลี้ยงส่วนใหญ่จะสรุปว่าขาดปุ๋ย จึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้ อันที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้มีอยู่หลายประการและพอที่จะใช้พิจารณาป้องกันแก้ไขได้ดังนี้คือ
1. ขอบใบหงิกงอลงด้านล่าง ต่อมาก็จะแห้งและหลุดไปสาเหตุ เพราะว่าอากาศภายในห้องหรือตัวอาคารร้อนเกินไปการแก้ไข เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทหรือถ้าไม่มีลม อาจใช้พัดลมช่วยเป่าก็ได้
2. ต้นไม้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กิ่งก้านไม่แข็งแรง เปราะหักได้ง่าย สาเหตุ เพราะว่าต้นไม้ได้รับปุ๋ยมากเกินไป การแก้ไข ควรลดปริมาณปุ๋ยที่ใส่ลง โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง
3. ต้นไม้เอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่งสาเหตุ เพราะต้นไม้ได้รับแสงเพียงด้านเดียวการแก้ไข ควรทำการหมุนกระถางต้นไม้บ่อย ๆ เพื่อให้ต้นไม้ได้รับแสงอย่างทั่วถึงกันทุกด้าน
4. ขอบใบเริ่มเหลืองและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล พร้อมกับก้านก่อนที่กิ่งจะแห้งตายไป สาเหตุ ต้นไม้ขาดน้ำ เพราะรดน้ำน้อยเกินไป การแก้ไข ควรให้น้ำอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอ
5. ขอบใบเริ่มเป็นสีน้ำตาล โคนใบเริ่มเป็นสีเหลืองแล้วหลุดร่วงไป ต่อมาก้านก็จะเริ่มโกรํน สาเหตุ เพราะได้รับน้ำมากเกินไป และน้ำขังไม่ไหลผ่านเป็นเวลานาน การแก้ไข งดการให้น้ำสักระยะหนึ่งก่อน ถ้าน้ำยังไม่ซึมหมดไปให้ลองใช้ไม้แยงเข้าไปที่รูก้นกระถาง เพราะบางที่ก้นกระถางอาจจุอุดตัน แต่ถ้ายังไม่หายให้เปลี่ยนดินใหม่ เพราะดินในกระถางอาจมีดินเหนียวปนอยู่มากเกินไป น้ำไม่สามารถจะระบายออกไปได้
6. ใบมีสีซีดไม่สดใส และมีจุดสีเหลืองหรือสีน้ำตาลปรากฎขึ้นบนใบ สาเหตุ เพราะต้นไม้ได้รับแสงสว่างมากเกินไป การแก้ไข ลดการให้แสงลง หรืออาจย้ายไปวางไว้ตรงบริเวณที่แสงสว่างส่องเข้าไปถึงน้อยลง เพียงพอแก่ความ ต้องการของต้นไม้
7. กิ่ง ก้าน ที่เกิดใหม่มีลักษณะกุดสั้นและใบมีสีซีดผิดปกติ สาเหตุ เพราะว่าต้นไม้ได้รับแสงสว่างน้อยเกินไปการแก้ไข ควรเพิ่มแสงสว่างให้กับต้นไม้ โดยการยกไปตั้งในที่ ๆ จะได้รับแสงเพียงพอหรืออาจเปิดไฟฟ้าให้ก็ได้
8. ใบเริ่มเหลือง แต่กิ่งก้าน ยังเขียวอยู่ ใบช่วงล่างเริ่มร่วง ยอดและใบที่เกิดใหม่จะหงิกงอแคระแกรนสาเหตุ เพราะว่าต้นไม้ขาดปุ๋ยการแก้ไข ใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้ แต่ข้อระวังคือต้องใส่ให้พอดีกับความต้องการของพืชอย่าใส่ให้มากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้ (ุถ้าให้ปุ๋ยเคมีโดยวิธีละลายน้ำรด ต้องระวังอย่าให้ตกค้างอยู่ที่ใบ เพราะจะทำให้ใบไหม้ทางที่ดีเมื่อรดเสร็จแล้วควรใช้น้ำเปล่ารดที่ใบและลำต้นอีกทีหนึ่งเพื่อชะล้างปุ๋ยที่ตกค้าง)

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น